วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

มาถึงออสแล้ว เริ่มต้นไงดี

หลังจากที่หลายๆคนได้รับข่าวดี มีโอกาสได้ย้ายมาใช้ชีวิตในออสเตรเลียอย่างถาวรแล้ว หลายๆคนอาจจะเริ่มมีคำถามในใจว่าแล้วจะทำอะไรต่อไปดี ตอนแม่หมีมาถึงออสเตรเลียใหม่ๆ แม่หมีเองก็มืดแปดด้าน ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี ต้องค้นหาศึกษาเอาเองตามเว็ปไซต์หน่วยงานรัฐบ้าง มีพ่อหมีช่วยให้คำแนะนำบ้าง ถามเพื่อนๆชาวออสซี่บ้าง แม่หมีเลยคิดที่จะเอาประสบการณ์ของตัวเองมาแชร์ไว้เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆคนอื่นที่กำลังจะมาเริ่มใช้ชีวิตใหม่ที่ออสเตรเลีย

Credit : Google


สิ่งที่แม่หมีแนะนำว่าควรทำทันที่ที่มาถึงประเทศออสเตรเลียนะจ๊ะ
  • ขอ Tax File Number หรือเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ได้งานทำก็ตาม ควรขอไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะอาจจะต้องใช้ข้อมูลในการเปิดบัญชีต่อไป ระยะเวลาการดำเนินการประมาณ 7-14 วัน เพื่อนๆ สามารถขอผ่านออนไลน์ได้เลย ไม่ยุ่งยาก https://www.ato.gov.au  หรือ สามารถโทรไปที่หมายเลข 13 2861 
  • ลงทะเบียน Medicare แม่หมีเคยเขียนเรื่องการติดต่อขอบัตรเมดิแคร์ไว้แล้ว เพื่อนๆ บางคนอาจจะมาออสเตรเลียด้วยวีซ่าท่องเที่ยวและได้ดำเนินการขอบัตรเมดิแคร์แบบ Interim ไว้แล้ว ก็ให้ใช้บัตรใบเดิมจนกว่าจะหมดอายุ ไม่ต้องดำเนินการขอบัตรใหม่ ส่วนคนที่ไม่เคยขอก็ไปติดต่อที่ Medicare ใกล้บ้าน ระยะเวลาดำเนินการประมาณ 14 วัน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.medicareaustralia.gov.au 
  • เปิดบัญชีธนาคาร คนที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยพกเงินสด เขาจะใช้เป็นบัตรเดบิตกันมากกว่า บัญชีที่เปิดจะเป็นบัญชีที่ใช้สำหรับใช้จ่ายประจำวัน หรือที่เรียกว่า everyday use ซึ่งแต่ละธนาคารก็จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น CommonWealth Bank เรียก Smart Access , Westpac Bank เรียก Everyday Banking, NAB เรียก Transaction Account บัญชีประเภทนี้มักจะมาพร้อมกับบัตรเดบิตเพือใช้แทนเงินสด  ไม่มีค่าธรรมเนียม และไม่มีดอกเบี้ย  หากต้องการฝากเพื่อรับดอกเบี้ย เพื่อนๆ ก็ต้องเปิด Saving Account เพิ่ม ซึ่งบัญชีออมทรัพย์นี้ก็จะมีเงื่อนไขและค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันไป และส่วนมากทางธนาคารจะขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีในการเปิดบัญชีประเภทนี้ด้วย เพื่อนๆสามารถติดต่อเปิดบัญชีที่ธนาคาร หรือเปิดบัญชีทางออนไลน์ก็ได้ หลังจากเปิดบัญชีแล้วทางธนาคารจะจัดส่งบัตรเดบิตตามที่อยู่ที่เราได้แจ้งไว้ เอกสารที่ใช้การเปิดบัญชีก็มีเล่มพาสปอร์ต เอกสารที่แสดงที่อยู่ปัจจุบันในออสเตรเลีย แม่หมีแนะนำให้ใช้จดหมายที่ได้รับจากหน่วยงานราชการ หรือ ใบเสร็จค่าน้ำ ค่าไฟก็ได้
  • ลงทะเบียนเรียนภาษาอังกฤษ  ทางรัฐบาลออสเตรเลียมีโครงการเรียนภาษาอังกฤษสำหรับผู้อพยพที่เป็นผู้ใหญ่อย่างเราๆท่านๆ หรือที่เรียกว่า Adult Migrantion English Program (AMEP) โดยที่จะได้รับสิทธิเรียนคนละ 510 ชั่วโมง สำหรับเรื่องขั้นตอนติดต่อการลงทะเบียนเรียนนั้นแม่หมีจะเขียนในบทความต่อไปนะเพื่อนๆ
  • ขอใบขับขี่ สำหรับการทำใบขับขี่ที่ออสเตรเลียนั้น แต่ละรัฐมีกฏเกณฑ์ที่แตกต่างกันไป แต่หลักโดยรวมส่วนใหญ่แล้ว ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์จากประเทศไทยที่เป็นแบบ Smart Card สามารถนำมาใช้ที่ออสเตรเลียได้ แต่หลังจากที่เราได้วีซ่าผู้พำนักถาวรหรือ PR แล้ว เราสามารถใช้ใบขับขี่จากไทยได้อีก 3 หรือ 6 เดือนเท่านั้นขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ที่รัฐไหน ซึ่งจะมีเงื่อนไขแตกต่างกันไป หลังจากนั้นจะต้องขอเข้ารับการทดสอบเพื่อใช้ใบอนุญาตขับรถของออสเตรเลียตามที่กำหนดในแต่ละรัฐ
ทั้งหมดที่แม่หมีเขียนนั้นอาศัยจากประสบการณ์จริงของแม่หมี ซึ่งจริงๆแล้วแต่ละคนอาจจะลำดับความสำคัญก่อนหลังแตกต่างกันไป  แม่หมีหวังว่าข้อมูลตรงนี้คงเป็นประโยชน์เบื้องต้นให้กับเพื่อนๆที่กำลังเดินทางมาใช้ชีวิตใหม่ในออสเตรเลียกันน้าาาาาา


YOU KNOW YOU LOVE ME.....XoXo
แวะมาพูดคุยหรือติดตามเรื่องราวรายวันสไตล์แม่หมีได้ที่ https://www.facebook.com/thekoalagang 

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ว่าด้วยเรื่องวีซ่าคู่สมรส

กลับมาแล้วจร้า กลับมาแล้ว หายหน้าหายตาไประยะหนึ่ง เพราะมัวแต่ไปซุ่มเก็บข้อมูลเพื่อมาเล่าให้คุณๆทั้งหลายฟัง ตามหัวข้อเลยค่ะคุณขา ว่าด้วยเรื่องวีซ่าคู่สมรส ซึงแม่หมีอยากจะบอกว่า ประเทศออสเตรเลียเนี่ยะ ขึ้นชื่อว่าข้อวีซ่าติดตามย้ายถิ่นฐานยากเป็นอันดับต้นๆเลยทีเดียว แม่หมีว่าเผลอๆอาจจะยากกว่าประเทศทางโซนยุโรปหรืออเมริกาเสียด้วยซ้ำ ระยะเวลาก็รอกันเป็นปีเลยทีเดียว บางคนตั้งท้องจนลูกคลอดแล้ววีซ่าเพิ่งได้ แถมมีการปรับปรุงระบบการยื่นวีซ่าเกือบทุกๆปี รวมไปถึงค่าธรรมเนียมวีซ่าที่เพิ่มขึ้น ทำเอาหลายๆคนท้อไปเลยทีเดียว

Credit ภาพจาก Google

ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา ได้มีการปรับเปลี่ยนขั้นตอนในการขอยื่นวีซ่าทุกประเภทว่าจะต้องให้ผู้ขอเก็บข้อมูล Biometric หลังจากยื่นเอกสารขอวีซ่า หากยื่นออนไลน์ผู้ขอจะได้รับจดหมายแจ้งให้กลับไปทำการสแกนลายนิ้วมือหลังจากทำเรื่องยื่นเอกสารอีกครั้งหนึ่ง สำหรับผู้ที่ยื่นขอไปก่อนหน้านี้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องกลับไปทำการสแกนลายนิ้วมือนะคะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ biometric ได้ตามลิ้งค์นี้เลยจร้า
http://www.vfsglobal.com/Australia/Thailand//thai/biometric-collection.html    
    
ที่แม่หมีจะเล่าเป็นการขอวีซ่าคู่สมรสจากไทยนะคะคุณขา เป็น subclass 309 เพราะบางคนอาจจะยื่นขอวีซ่าคู่สมรสในออสเตรเลียได้หากไม่ติดเงื่อนไข 8503   สำหรับขั้นตอนการยื่นวีซ่าคู่สมรสนั้นเอาแบบคร่าวๆ ก็เริ่มจากเตรียมเอกสารตามที่กำหนด, ยื่นเอกสารพร้อมชำระค่าธรรมเนียมที่ VFS, เก็บข้อมูล Biometric, ตรวจสุขภาพ ณ โรงพยาบาลที่กำหนดโดยขั้นตอนการตรวจสุขภาพนั้นจะต้องรอจดหมายจากทางอิมแจ้งมาก่อนนะคะถึงจะไปตรวจได้ ประมาณ 4 เดือนหลังจากยื่นเอกสาร จากนั้นก็รอ ร้อ รอ กันยาวเลยค่ะ จะรอนานมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเอกสารของเราและจำนวนผู้ยื่นขอวีซ่าในขณะนั้นด้วยนะจ๊ะ แต่ตามที่ Immigration หรือที่เราเรียกว่าอิม นั้นกำหนดไว้ที่ประมาณ 12-14 เดือน ช่วงหลังๆแม่หมีเห็นรอกันนานเลย

กลับมาเรื่องเอกสารที่ต้องใช้ยื่นกันดีกว่าเนอะ แม่หมีอยากจะบอกว่ามันทำไมเยอะแยะมากมายขนาดนี้ เตรียมไปน้ำตาไหลไปเลยทีเดียวนี่ขนาดแม่หมียื่นไปนานแล้วนะ ยิ่งตอนนี้อิมยิ่งเข้มงวดเข้าไปอีก เฮ้อออออ แม่หมีเป็นกำลังใจให้คนที่จะยื่นและกำลังยื่นล่ะกันนะ เอกสารที่แม่หมีเตรียมตอนที่ยื่นมี 
  1. แบบฟอร์มหมายเลข 47SP เป็นเอกสารใบสมัครที่ต้องกรอกรายละเอียดของเรา โดยกรอกเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด
  2. แบบฟอร์มหมายเลข 40SP เป็นเอกสารที่ต้องกรอกโดยสปอนเซอร์ของเรา พูดง่ายๆก็คือสามีหรือคู่สมรสของเรานั่นเอง พร้อมสำเนาพาสปอร์ต ,สำเนาสูติบัตร, สำเนาใบการถือสัญชาติออสเตรเลีย
  3. แบบฟอร์มหมายเลข 888 อันนี้เป็นเอกสารที่ยืนยันความสัมพันธ์ของเราสองคน คือต้องให้เขียน 2  คน 2 ฉบับ จะให้ญาติให้เพื่อนหรือคนรู้จักกรอกก็ได้ แต่ผุ้ที่กรอกควรเป็นอยู่ที่ออสเตรเลียหรือถือสัญชาติออสซี่ เมื่อกรอกเสร็จ ต้องแนบเอกสารของผู้กรอกได้แก่สำเนาใบขับขี่ หรือ สำเนาพาสปอร์ตที่ JP ทำการรับรองไปด้วย
  4. เอกสารส่วนตัวที่ต้องแปล แม่หมีเลือกที่จะแปลโดย NAATI ไปเลย เพราะจะได้นำมาใช้ที่ออสได้ด้วย เอกสารที่แม่หมีส่งแปลได้แก่ สูติบัตร, ทะเบียนบ้าน, บัตรประชาชน, ทะเบียนสมรส คร2, ใบสำคัญการสมรส,ใบเปลี่ยชื่อสกุล
  5. เอกสารที่ยืนยันความสัมพันธ์ต่างๆ เช่น อีเมล์, ประวัติการสนทนาที่เคยคุยจีบกัน อิอิ, รูปถ่ายตอนไปเที่ยว ตอนแต่งงาน แม่หมีโพสต์รูปรวมหลายๆรูปแล้วปริ้นท์ใส่กระดาษ A4 ,หลักฐานการโอนเงิน ,เอกสารแสดงการเปิดบัญชีร่วมที่ออส, เอกสารให้ร่วมใช้บัญชี , ใบเสร็จค่าสาธารณูปโภคบ้านที่ออส, รูปถ่ายบ้าน, ใบเสร็จค่าใช้จ่ายที่แฟนเราจ่ายให้
  6. จดหมายยืนยันความสัมพันธ์ของเรากับของคู่สมรส แม่หมีก็เขียนบรรยายตามภาษาอังกฤษบ้านๆสไตล์แม่หมี เล่าว่าเจอกันยังไงที่ไหน คบกันมานานแค่ไหน วางแผนใช้ชีวิตกันยังไง ประมาณเขียนเรียงความเล็กๆ 
  7. ใบรับรองความประพฤติ แม่หมีไปขอที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยยื่นตัวจริงพร้อมเอกสารขอวีซ่า แต่ตอนนี้ปรับใหม่รู้สึกว่าจะต้องรอจนกว่าทางอิมแจ้งมาก่อน ยังไม่ต้องรีบไปขอนะจ๊ะ ใจเย็นๆๆๆ
  8. รูปถ่ายตามขนาดที่กำหนด คนละ 2 รูป ของเรา 2 รูป ของแฟนเรา 2 รูป
เอกสารที่แม่หมียื่นเนี่ยะ กรณีที่ไม่มีผู้ติดตามนะจ๊ะ เขียนเอาจากประสบการณ์การยื่นของแม่หมีตัวคนเดียว เดี่ยวๆ เพราะหากมียื่นผู้ติดตามด้วยเอกสารก็ต้องเพิ่มจากนี้ ถ้าให้ดีก็ตรวจสอบกับทาง VFS หรือทางสถานฑูตอีกที
ที่สำคัญเอกสารที่ใช้ยื่นที่เป็นสำเนาทุกฉบับจะต้องได้รับการรับรองโดย JP ก่อนยื่น แล้ว JP มันคืออะไร? จะไปหา JP ได้ที่ไหน ?  JP ก็คือกลุ่มบุคคลที่ทางอิมกำหนดเพื่อใช้ตรวจสอบสำเนาเอกสาร โดยเมื่อ JP ตรวจสอบเอกสารสำเนาของเราแล้วจะทำการประทับตราและเซ็นชื่อกำกับเพื่อยืนยันว่าสำเนานั้นถูกต้อง กลุ่มอาชีพที่เป็น JP ได้แก่ ตำรวจ เภสัชกร วิศวกร  บุรุษไปรษณีย์ เป็นต้น  สำหรับคนที่ยื่นที่ไทย ทางเจ้าหน้าที่ VFS เองสามารถรับรองเอกสารให้ได้แต่เสียค่าบริการฉบับละ 50 บาท
สำหรับค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ปัจจุบันก็สามารถตรวจสอบได้จากเว็ปไซต์ของ VFS ตามลิ้งค์ที่ให้ไว้ได้เลยจร้า http://www.vfsglobal.com/Australia/Thailand//thai/partner_migration.html

หลังจากยื่นเอกสารไปทั้งหมดแล้ว ก็จะได้รับจดหมายแจ้งจากอิมให้ไปตรวจสุขภาพตามโรงพยาบาลที่กำหนด ซึ่งตอนนี้จะต้องรอประมาณ 4 เดือน ถ้าสมัยรุ่นแม่หมีก็ประมาณ 7 วัน อิอิ ต่อจากนั้นก็อย่างที่บอกแหละจร้า รอ ร้อ รอ หากทางอิมต้องการเอกสารเพิ่มเติม ทางอิมก็จะติดต่อมาทางที่อยู่ อีเมล์ หรือเบอร์โทรศัพท์ที่เราแจ้งไว้ ที่เหลือก็อาศัยความอดทนล้วนๆ แม่หมีขอให้ทุกคนที่ยื่นวีซ่าคู่สมรสหรือที่กำลังรอสมหวังได้ไปอยู่กับคนที่รักโดยเร็วนะ  จุ๊บจุ๊บ

YOU KNOW YOU LOVE ME.....XoXo
แวะมาพูดคุยหรือติดตามเรื่องราวรายวันสไตล์แม่หมีได้ที่ https://www.facebook.com/thekoalagang 

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

Medicare card & ระบบประกันสุขภาพ

ห่างหายจากการเขียนบล็อกไปนานมว๊ากกก แม่หมีแอบหนีร้อนจากออสช่วงเดือนกุมภาพันธ์กลับไปเที่ยวเมืองไทยมา 2 เดือน กลับมาถึงได้ของแถมกลับมาเป็นผื่นภูมิแพ้ชนิด  Dyshidrotic Eczema ที่มือทั้ง 2 ข้าง นอกจากจะคันแบบไม่มีที่สิ้นสุดแล้วยังเป็นแผลจากการเกาอีก โอ้ว แม่เจ้า ทั้งเจ็บ ทั้งแสบ ทั้งคัน แถมอากาศที่เมลเบิรน์ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้ว ประมาณ 14-17 องศาเซลเซียส อากาศแห้งๆแบบนี้ยิ่งทำให้แผลที่เป็นแห้งไปใหญ่ ประจวบกับนิ้วมือที่เกาก็บวมคล้ายจะติดเชื้อเข้าไปอีก นี่ถ้าเป็นเมืองไทยแม่หมีคงเดินไปร้านขายยาปรึกษาเภสัชกรและได้ยาฆ่าเชื้อมาทานบรรเทาอาการไปบ้างแล้ว แต่ที่นี่ระบบประกันสุขภาพค่อนข้างจะเคร่งครัด จนบางทีแม่หมีรู้สึกว่ามันเยอะและช้าไปเสียด้วยซ้ำ

การจะได้รับยาและใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพของที่นี้นั้น เราจะต้องไปลงทะเบียบขอรับ Medicare Card ก่อนนะเพื่อนๆ แล้ว Medicare Card คืออะไร ?
Medicare Card เปรียบเหมือนบัตรประกันสุขภาพ คุ้มครองค่ายาและค่ารักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วย หากเราเจ็บป่วยและเข้ารับการรักษาใรโรงพยาบาลของรัฐ หรือคลินิคที่ระบุว่าเป็น Bulk Billing เราจะได้รับค่ารักษาพยาบาลฟรีทั้งหมด ไม่ต้องสำรองจ่าย และยังได้ส่วนลดสำหรับค่ายา แต่ถ้าเราไปหาคลินิคเอกชนจะมีส่วนต่างที่ต้องจ่ายเพิ่ม  หากไม่มี Medicare Card เราจะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่ายาเต็มจำนวน ซึ่งค่าใช้จ่ายค่ายาและค่ารักษาพยาบาลที่นี่ค่อนข้างแพงมาก

เครดิตภาพจาก Google
การจะได้บัตร Medicare Card ขึ้นกับชนิดวีซ่าและเงื่อนไขที่ระบุไว้ แม่หมีเองไปขอบัตร Medicare  Card ตอนระหว่างรอวีซ่าคู่สมรส เอกสารที่ใช้ได้แก่ พาสปอร์ตไทย, เอกสารการยื่นวีซ่าคู่สมรสจากทางสถานฑูต, ใบทะเบียนสมรส แล้วก็เอกสารสำคัญก็คือ พ่อหมี เพราะเงื่อนไขระบุว่าเราจะต้องมีหลักฐานแสดงว่าคู่สมรสเป็นชาวออสเตรเลีย เอาพ่อหมีไปสบายใจที่ซู้ดดด โดยนำเอกสารทั้งหมดพร้อมแบบฟอร์มลงทะเบียนนขอ Medicare Card ไปติดต่อที Centerlink ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล, การเลี้ยงดูบุตร, การหางาน, การช่วยเหลือผู้อพยพย้ายถิ่นฐานมาใหม่ เป็นต้น แต่พอตอนยื่นๆจริงนะ เอกสารทุกอย่างมันออนไลน์ในระบบอยู่หมดแล้ว สุดท้ายไม่ได้ใช้เอกสารที่นำไปด้วยซักอัน เจ้าหน้าที่แค่ขอพาสปอร์ตแล้วก็กรอกข้อมูล จากนั้นก็พิมพ์บัตร Medicare Card ในกระดาษ A4 ให้ใช้ชั่วคราว โดยบัตรจะถูกส่งมาที่บ้านอีกทีภายใน 1-2 สัปดาห์

หลังจากที่แม่หมีได้เลขที่  Medicare Card แล้ว แม่หมีก็โทรไปจองคิวตรวจกับหมอที่คลินิคเอกชนแถวบ้าน รีบกระหืดกระหอบมาที่คลินิค ปรากฎว่านั่งรอจนหลับแล้วหลับอีก เฮ้อออออออ คุ้นๆและคล้ายๆกับระบบบริการสุขภาพแถวบ้านเรายังไงไม่รู้ จองไว้ 11.30 ได้ตรวจจริงเกือบ 12.30 นี่ขนาดจองเวลาแล้วนะเนี่ยะ อ้อ...ลืมบอกไป ที่นี้ไม่ใช่ว่าเราจะเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปหาหมอได้นะจ๊ะ ต้องจองคิวกันก่อน แล้วค่าตรวจเนี่ยะเค้าคิดกันตามระยะเวลา เช่น Normal Consultation 74 AUD , Long Consultation 100 AUD เป็นต้น อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างนะคะคุณขาาาาา เวลาเค้าเป็นเงินเป็นทอง ต้องรีบคุยรีบปรึกษากันเลยทีเดียว หาหมอเสร็จหมอก็จะให้ใบสั่งยาเรามา ใบสั่งยาที่ได้เราจะต้องนำไปซื้อยาที่ร้านขายยาเอง พอเรานำใบสั่งยาไปยื่น ทางเภสัชกรจะบันทึกแลขที่ Medicare Card และประวัติการใช้ยาของเรา ชำระเงินเสร็จเรียบร้อยได้รับยาและคำแนะนำการใช้ยา ลัลลา ตัวเบากลับบ้านกันไปเลย

ฟังดูแล้วกระบวนการค่อนข้างจะยุ่งยาก แต่ถ้ามองในแง่ดีแล้วรัฐบาลเค้าต้องการให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพขั้นพื้นฐานของตนเองให้ดีก่อน ไม่ใช่เอะอะก็ไปโรงพยาบาลหาหมอ จากประสบการณ์ทำงานในโรงพยาบาลของแม่หมี บางทีคนไข้ได้ยาไปแต่ไม่กินก็มี เสียดายทั้งเงิน ทั้งยา นอกจากนี้ยังควบคุมการใช้ยาไม่ให้เกินความจำเป็น แต่อย่างว่าอะนะ แม่หมีเองก็ติดระบบจากเมืองไทย ใจเราก็อยากรักษาเร็วได้ยาเร็ว ก็คงต้องเรียนรู้และปรับตัวกันไป คงต้องดูแลตัวเองดีๆ หากไม่อยากต้องเสียเงินแพงๆ รอคิวนานๆ ตามคำที่ว่า "อโรคยา ปรม ลาภา การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" ว่าแล้วแม่หมีคงต้องไปกินยาและนอนพักผ่อน ปล่อยให้พ่อหมีล้างจาน ทำงานบ้านไปก่อนละกัน อิอิ สบายเรา

YOU KNOW YOU LOVE ME ....XoXo
แวะมาพูดคุยหรือติดตามเรื่องราวรายวันสไตล์แม่หมีได้ที่ https://www.facebook.com/thekoalagang 


วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

รถราง รถไฟ รถเมล์

ห่างหายจากบล็อคไปนาน แม่หมีมัวแต่ลั้นลากับการหยุดยาวตั้งแต่คริสต์มาสยันปีใหม่ วันนี้ได้ฤกษ์สลัดความขี้เกียจออกจากสันหลัง แต่ขอบอกระหว่างที่แม่หมีลั้นลา ก็เก็บเรื่องดีดีมาฝากคุณๆทั้งหลายนะจ๊ะ หลายคนเห็นหัวข้อแล้ว มีงง มันคืออะไร รถไฟ รถเมล์ อะไรกัน!!!! คือที่แม่หมีขึ้นหัวข้อ Topic นี้ก็เพื่อที่จะมาคุยมาเล่าถึงเรื่องระบบการคมนาคมที่เมล์เบิรน์
การคมนาคมขนส่งที่ออสเตรเลียในแต่ละรัฐก็คงไม่แตกต่างกันมาก แต่ที่แม่หมีจะมาเล่าวันนี้เป็นระบบคมนาคมขนส่งที่เมืองเมล์เบิรน์ร รัฐวิคตอเรีย ถ้าคุณๆได้ติดตามเรื่องเล่าของแม่หมีมาก่อนหน้านี้ก็พอจะรู้ว่า เมลเบิรน์เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศออสเตรเลีย เพราะฉะนั้นระบบการคมนาคมขนส่งที่นี่ค่อนข้างตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการอย่างเราๆ ท่านๆได้เป็นอย่างดี
ที่เมลเบิรน์เราจะใช้บัตรโดยสารที่เรียกว่า Myki Card สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมล์เบิรน์เป็นครั้งแรก สามารถหาซื้อบัตร Myki Card นี้ได้ที่เคาน์เตอร์จุดขายตามสถานีต่างๆ,ตู้ขายบัตรอัตโนมัติ หรือแม้แต่ร้าน 7-11   บัตร Myki Card นี้สามารถใช้ได้กับทั้งรถราง รถไฟ และรถบัส โดยบัตร Myki Card นี้จะมีอยู่ 2 แบบ คือ Myki Money คือบัตรที่เราเติมเงินแล้วใช้ไปเรื่อยๆจนเงินในบัตรหมดแล้วค่อยเติมใหม่ ส่วนบัตร Myki Pass นั้นจะจำกัดตามโซนที่เราเดินทางและขึ้นกับจำนวนวันที่เราต้องการใช้ เช่น  7 วัน,325 วัน หรือ 365 วัน เป็นต้น โดยไม่จำกัดเที่ยว
วิธีการใช้ Myki Card นั้น ก็ง่ายมากจ้ะคุณขา แค่แตะเบาๆ บนเครื่อง แตะครั้งแรกขาขึ้นระบบก็จะทำการบันทึกและจะหักเงินเมื่อเราแตะบัตรอีกครั้ง ณ ปลายทางที่เราต้องการลง ไม่ว่าจะเป็นรถราง รถไฟ รถเมล์ใช้ระบบเดียวกันหมด 

หน้าตาบัตร Myki Card


บัตร Myki Card ของแม่หมีเป็นแบบ Myki Money


เครื่องสแกนบัตร Myki Card ตามสถานีรถไฟ 


เวลาสแกนแค่แตะบัตรบนเครื่องตามรูป ง่ายๆจ๊ะ
ส่วนของรถบัสและรถราง เราจะแตะบัตรเวลาขึ้นไปบนรถแล้วนะจ๊ะ เครื่องสแกนบัตรจะอยู่ตรงประตูทางขึ้น อ้อ ลืมบอกไป เวลาเราใช้บัตร Myki Card ควรจะหมั่นเช็คจำนวนวัน จำนวนเงินให้พร้อมนะจ๊ะ ตอนนี้อาจจะเกิดคำถามขึ้นมาว่าแล้วเราจะรู้ได้ไงอ่ะ คำตอบคือเราสามารถตรวจสอบได้จากหน้าจอบนเครื่องสแกนบัตร หรือเช็คออนไลน์ผ่านเว็ปไซต์ของ Myki ได้ หากถ้าเกิดเงินเในบัตรเราไม่พอ เราอาจจะต้องเสียเวลาเติมเงินกับพนักงานขับรถ ซึ่งอาจจะเจอสายตาพิฆาตจากผู้โดยสารคนอื่นบนรถได้นะ อิอิ แม่หมีเคยโดนมาแล้ว ทางที่ดีควรเช็คหรือจำมูลค่าเงินครั้งล่าสุดไว้จะดีกว่า หากจำนวนเงินไม่พอเราสามารถเติมเงินล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ได้ เพื่อความสะดวกและประหยัดเวลาการเดินทางของเราและเพื่อนร่วมทางนะจ๊ะ แม่หมีขอบอก

ประตูอัตโนมัติรถไฟ

ที่สถานีจะมีป้ายบอกขบวนรถไฟและเวลาที่รถไฟเข้าเทียบชานชลา

เวลายื่นรอรถไฟห้ามล้ำเส้นเหลืองแดงที่เห็นนะจ๊ะ

ที่นั่งภายในรถไฟ

ที่นั่งสำหรับคนพิการบนรถไฟ

เครื่องสแกนบัตร Myki ประตูทางออกรถประจำทาง

ที่นั่งภายในรถประจำทาง


YOU KNOW YOU LOVE ME ....XoXo
แวะมาพูดคุยหรือติดตามเรื่องราวรายวันสไตล์แม่หมีได้ที่ https://www.facebook.com/thekoalagang 

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

Sovereign Hill เสน่ห์เหมืองทอง


เมื่อช่วงหน้าหนาวที่ผ่านมา แม่หมีมีโอกาสไปเที่ยวที่ Sovereign Hill ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกทีหนึ่งในรัฐวิคตอเรีย  Sovereign Hill เป็นพิพิธภัณฑ์แบบ outdoor นะจ๊ะ ไม่ได้อยู่แต่ในห้องอาคารสี่เหลี่ยม แต่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเพื่อการเรียนรู้จากผู้คนและอาคารสถานที่จริงที่มีอยู่ตั้งแต่ดั้งเดิม ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เมือง Ballarat ครอบคลุมพื้นที่เหมืองทองประมาณ 25 เฮกเตอร์หรือประมาณ 0.25 ตารางกิโลเมตร พื้นที่นี้เคยเป็นแหล่งขุดทองในสมัยก่อน ปัจจุบัน Souvereign Hill จัดเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ภายในพิพิธภัณฑ์ยังคงความเป็นเมืองเก่า อาคาร ร้านค้าต่างๆ รวมไปถึงผู้คนแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายสมัยโบราณ ยุคปี 1850

ช่วงที่แม่หมีไปอากาศหนาวประมาณ 3 องศาขับรถจากบ้านแม่หมีไปประมาณเกือบ 3 ชั่วโมงแต่ถือว่าคุ้มมากที่ได้มา ค่าเข้าชมประมาณคนละ 50 AUD เข้าไปแล้วรู้สึกเพลิดเพลินและทำให้จินตนาการการใช้ชีวิตของผู้คนชาวเหมืองสมัยก่อน มีทั้งร้านเบเกอรี่ ร้านขายขนม ลูกกวาด ร้านขายยา บาร์ โรงแรม ไปรษณีย์ ซึ่งยังคงเป็นของเก่าตั้งแต่ดั้งเดิม รวมไปถึงไฮไลท์คือการทำเหมืองทอง ซึ่งในพิพิธภัณฑ์จะมีโซนในการร่อนทอง หลอมทอง ผู้เข้าชมสามารถไปร่อนทองในลำธารได้นะ เผื่อโชคดีจะได้เศษทองกลับติดไม้ติดมือไป นอกจากการเดินเยี่ยมชม เดินดูภายในตัวอาคารร้านรวงต่างๆเพื่อซึมซับบรรยากาศแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์เองยังมีตารางกิจกรรมให้ผู้เข้าชมได้เลือกเช่น ทัวร์ขุดทอง มีวันละ 2 รอบ 11.00 และ 14.00 น. ,โชว์เดินสวนสนามและยิงปืนของเหล่าทหารเสือ, โชว์การหลอมทองคำแท่ง, โชว์การทำขนมลูกกวาดแบบโบราณ ,โชว์การทำเทียนไข และอีกมากมาย ซึ่งสามารถดูได้จากแผ่นพับที่ได้รับแจก นอกจากตารางโชว์ต่างๆแล้วในนั้นจะมีแผนที่เส้นทางการเดินชมพิพิธภัณฑ์ให้ไว้กันหลงด้วยนะจ๊ะ ขอออกตัวไว้ก่อนว่าแม่หมีไม่ได้เป็นนักถ่ายภาพ ภาพที่ถ่ายก็ใช้จากกล้องมือถือนี่แหละ แสงสีอาจจะไม่ได้ดังใจทุกท่านนะจ๊ะ เอาเป็นว่าเรามาท่องเที่ยวจากภาพไปด้วยกันดีก่าเนอะ หุ หุ

จำได้ว่าหลังจากซื้อตั๋วเสร็จ จุดแรกที่พวกเราชาวคณะหมีเข้าไปเยี่ยมชมเป็นร้านขายยาหรือที่เรียกว่า Chemist ในสมัยนั้น ภายในร้านขายยายังคงความเก่าแก่ มีชั้นและขวดยาตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ภายในร้านขายยายังมีโซนที่เป็นห้องตรวจโรคสำหรับแพทย์ด้วย นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ในร้านยังแต่งกายในยุคสมัยปี 1850 พร้อมทั้งให้คำอธิบายขั้นตอนการปรุงยาและจ่ายยาในสมัยนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนแม่หมีเข้าไปอยู่ในยุคนั้นด้วยจริงๆ อิอิ

ร้านขายยาหรือ Chemistในสมัยนั้น

ชั้นจัดเก็บยาและตัวยาสำคัญที่ใช้ปรุงยาสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย 

ข้างในห้องตรวจโรค มีเครื่องมือที่ใช้ในการวินิจฉัยและรักษาโรคแบบโบราณ

ถัดจากร้านขายยา แม่หมีเดินเลาะมาตามถนนอิฐบล็อคแบบสมัยโบราณได้ซักพัก จนมาถึงจุดหนึ่งซึ่งมีกลิ่นโชยบางๆของเบเกอรี่หอมๆ แอบชำเลืองดูข้างๆ อ้าว นี่เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร คริคริ ที่แท้ก็เป็นร้านเบเกอรี่นี่เอง อ่านชื่อแล้วร้านนี้ช่างให้ควาหวังแก่แม่หมีเสียนี่กระไร ความหวังที่จะได้กินของอร่อย แล้วแม่หมีก็ไม่ได้ผิดหวังด้วยนะ หลังจากสองเท้าพอย่างเข้าไปในร้าน ทำให้ถึงกับตะลึงในบรรยากาศร้านเบเกอรี่แบบโบราณ ที่ร้านนี้ขายพายนานาชนิด ว่าแล้วอย่าให้พลาดแม่หมีจัดพายเนื้อไป 1 ชิ้น รสชาติกลมกล่อมเป็นที่สุด

ด้านหน้าร้านเบเกอรี่ที่ส่งกลิ่นหอมชวนให้แวะเข้าไปค้นหาความอร่อย

บรรยากาศภายในร้าน คงกลิ่นอายชองร้านเบเกอรี่ยุค 1850

หลังจากท้องอิ่มแล้ว แม่หมีกับชาวคณะก็เดินชมอาคารสถานที่ต่างๆ มีทั้งโรงแรม ร้านกาแฟ ร้านขายหนังสือ ร้านขายสินค้า Handmade ต่างๆอีกมากมาย ซึ่งอาคารร้านค้าเหล่านั้นล้วนคงเอกลักษณ์ความเก่าและเก๋า แม่หมีไม่ได้ลงรูปทั้งหมดนะจ๊ะเพราะเยอะมว๊ากกกกก เกรงว่าเพื่อนจะเบื่อ เดินไปได้ซักพัก หลานชายพ่อหมีอยากลองทำเทียนสี พวกเราก็เลยอพยพเดินเท้าไปยังร้านขายเทียน เข้าไปในร้านจะพบกับเทียน handmade เล่มสวยๆมากมาย เข้าไปด้านหลังร้าน จะพบกับ workshop ทำเทียนสีโดยเราสามารถทำเทียนสีที่เราต้องการเอง แต่ต้องซื้อเทียนเล่มขาวๆเหมือนในรูปจากร้าน แล้วจะมีเจ้าหน้าที่แนะนำการชุบเทียนสีตามที่เราต้องการ ส่วนใหญ่กิจกรรมนี้เด็กๆจะให้ความสนใจกันมากเป็นพิเศษ ครั้นจะลองทำบ้างก็เขิลลลอ่ะ

เจ้าหน้าที่แสดงขั้นตอนการหล่อเทียนและขึ้นรูปเทียนไขก่อนนำไปชุบสี
นอกจากการเดินเยี่ยมชมอาคารสถานที่ต่างๆแล้ว ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งรถม้าชมรอบเมืองและเหมือง ทางพิพิธภัณฑ์ก็มีไว้ให้บริการ แต่แม่หมีไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่ หุ หุ

รถม้านั่งชมรอบๆพิพิธภัณฑ์ และเหมือง
พอประมาณซักบ่าย 2 จะมีขบวนพาเหรดของบรรดานักแสดงในเครื่องแบบทหารบนถนนสายหลัก ผู้เข้าชมจะมารวมตัวกันริมถนน นักแสดงจะโชว์ระเบียบการเดินแถวสวนสนามและยิงปืน แม่หมีชอบตรงที่พอจบการแสดงจะมีการโปรยคล้ายๆหิมะและฟองสบู่ลงมา ได้บรรยากาศฟินเฟ่อร์เว่อร์วัง

ขบวนพาเหรดเหล่าทหาร
อีกไฮไลท์หนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือการหลอมทอง แหม!!! ก็มาถึงเหมืองทองทั้งทีจะให้พลาดการหลอมทองได้ยังไง การแสดงหลอมทองจะเริ่มตั้งแต่กระบวนการการนำแร่ทองมาถลุงแร่ให้ได้ทองคำบริสุทธิ์ แล้วนำไปหลอมในอุณหภูมิสูง จากนั้นนำมาหล่อให้เป็นทองคำแท่งที่เราเคยเห็นกัน แม่หมีนั่งดูไปตาลุกวาวกันเลยทีเดียว หลังจากคุณลุงหลอมได้ทองคำแท่งแล้วก็ใส่ไว้ในกล่องด้านข้างที่ล็อคกุญแจอย่างดี อิอิ เพื่อป้องกันการสูญหายจากวินาทีชุลมุน เพราะนั่นคือทองคำแท้ จริงๆนะ

เจ้าหน้าที่สาธิตวิธีการหลอมทอง
พอดูสาธิตการหลอมทองเสร็จ แม่หมีก็เร่ิมสงสัยว่าแล้วเค้าเอาทองมาจากไหนอ่ะ เดือดร้อนให้พ่อหมีและชาวคณะต้องพาไปดู เราเดินมาจนถึงสถานที่คล้ายๆลำธารสายเล็กๆที่ไหลมาจากเหมืองที่อยู่บริเวณภูเขาด้านหลัง ณ ที่ตรงนี้เป็นจุดมหาสมบัติ เอ้ย....เป็นจุดที่สายน้ำพัดพาเอาแร่ทองคำมาติดมา เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ชาวคณะเราก็เริ่มอาชีพเก่า หยิบเครื่องหมายเครื่องมือ พลั่ว เสียม กระจาด ขึ้นมาโกยหินดินทราย ร่อนหาทอง เผื่อได้ติดไม้ติดมือ อาาาาา อย่าทำเป็นเล่นไป นักท่องเที่ยวบางรายเจอแร่ทองจริงๆตรงนี้นะจ๊ะ หากใครหาได้สามารถนำไปใส่ขวดแก้วเล็กๆเป็นของที่ระลึกได้เลยนะ แต่สำหรับแม่หมีผู้ซึ่งไม่มีโชคทางนี้ ก็ได้แค่กางเกงเปียกปอนเป็นที่ระลึกแทน

ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สนุกสนานกับการร่อนทอง
อากาศวันที่แม่หมีไปค่อนข้างหนาว แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเดินเที่ยว เพราะมีแต่สถานที่น่าสนใจที่ทำให้เราอยากเข้าไปเยี่ยมชม แถมมีกิจกรรมที่เราสามารถร่วมได้โดยไม่เบื่อ ส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนและจะมากันเป็นกรุ๊ปทัวร์ เพราะจริงๆแล้วเมืองนี้มีชาวจีนอพยพเข้ามาอาศัยและทำอาชีพเหมืองทองกันเยอะ

ถนนสายหลักของพิพิธภัณฑ์



รางโบว์ลิ่งสมัยโบราณทำจากไม้
อีกกิจกรรมหนึ่งที่แม่หมีชอบก็คือการสาธิตวิธีทำลูกอมแบบโบราณ โดยใช้การเคี่ยวน้ำตาลจนเหนียวและใส นำมารีดและตัดด้วยเครื่องตัดลูกอม มีหลายรสชาติให้ชิมและซื้อกลับไปเป็นของฝาก ถูกใจคุณพ่อหมีผู้ชื่นชอบของหวานเป็นชีวิตจิตใจ แม่หมีไม่สามารถฝ่าฝูงชนที่รุมดูเข้าไปถ่ายรูปกรรมวิธีการทำลูกกวาดได้ ได้มาก็แต่รูปผลผลิตสุดท้ายของลูกกวาดแสนอร่อย

ลูกกวาดแบบโบราณ มากมายหลายรสชาติ
แม่หมีและชาวคณะใช้เวลาตั้งแต่เช้าจนเย็นที่ Sovereign Hill รู้สึกว่าคุ้มค่ามากที่ได้มาเยือนที่นี่ หากเพื่อนๆคนไหนมีโอกาส แม่หมีแนะนำให้ลองมาแวะเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์  outdoor แห่งนี้ รับรองว่าไม่มีคำว่าเบื่อ ไว้คราวหน้าแม่หมีและชาวคณะจะไปเสาะหาที่เที่ยวที่น่าสนใจมานำเสนออีกนะจ๊ะ

YOU KNOW YOU LOVE ME ....XoXo
แวะมาพูดคุยหรือติดตามเรื่องราวรายวันสไตล์แม่หมีได้ที่ https://www.facebook.com/thekoalagang